P_20150812_164924_1_p-e1465182638627.jpg

จากจิตอาสาแปรเป็นการตามหาความฝัน

จากการทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเอง เพื่อคลายความเหงา เพื่อหาสังคมใหม่ ผมเริ่มมาสนใจสิ่งที่เคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก นั่นคือการเป็นครู ผมเริ่มตามความฝันจากสิ่งที่พอทำได้ก่อน นั่นคือ การลองไปจัดกิจกรรมกับเด็ก ทีนี้ผมก็สนใจชีวิตของเด็กบนดอยพอสมควร เนื่องจากผมเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด เลยสนใจอะไรที่ค่อนข้างใกล้ตัว ดังนั้น ผมก็เริ่มเข้าไปหาข้อมูลในเว็บครูบ้านนอก ประกอบกับคนที่ผมรู้จักตอนที่ทำจิตอาสาด้วยกันเขาเคยไปครูบ้านนอกมาแล้ว จึงเริ่มสนใจและหาเวลาไปครูบ้านนอกดู          ครั้งแรกที่ผมไปเป็นช่วงหน้าฝน วันแม่ซึ่งเป็นวันหยุดยาว ครั้งนั้นไปเป็นครูอาสาบนดอยที่หมู่บ้านอยู่สุข ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงรายเป็นเวลา ๔ วัน ได้สอนเด็กนักเรียนที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยา ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๓ ถึงแม้ว่าชุมชนที่ข้าพเจ้าได้ไปทำกิจกรรมนั้นจะมีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างครบครัน ได้แก่ ถนน ไฟฟ้า และน้ำประปา แต่หากกลับมาวิเคราะห์ถึงนักเรียนที่มาเรียนในโรงเรียน พวกเขาเป็นเยาวชนที่มาจาก ๒ หมู่บ้านด้วยกัน คือ หมู่บ้านอยู่สุข และหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง นักเรียนมาจากหลายชนเผ่า เช่น อาข่า จีน เป็นต้น อีกทั้งอายุของนักเรียนบางคนก็แตกต่างไปจากคนอื่น บางคนอายุ ๑๐ กว่าปีแล้วพึ่งจะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ผมจึงเห็นความหลากหลายในหมู่นักเรียนด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม นักเรียนทั้งหลายต่างมีน้ำใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม กิจกรรมดังกล่าวจึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี […]

image05-e1465182252746.jpg

สุขอยู่ที่ใด สุขอยู่ที่ใจ

“หนูขอลาโดยไม่รับเงินเดือน หนึ่งเดือนครึ่งค่ะ” นี่เป็นประโยคที่ฉันพูดกับฝ่ายบุคคลของบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เพื่อนร่วมงานแทบจะทุกคนต่างยิงคำถามหลังรู้เรื่องการลาของฉันครั้งนี้ “จะไปไหน ไปทำอะไร ไปทำไม ไปเพื่ออะไร…” เอ่อออ หนูจะลาไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานที่มูลนิธิกระจกเงาเชียงรายค่ะ ทุกคนก็ต่างแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป บางคนก็อาจจะไม่เข้าใจถึงเหตุผลในการลาโดยไม่รับเงินเดือนครั้งนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็ต่างสนับสนุนและมักจะตบท้ายด้วยประโยคในรูปแบบเดียวกันว่า “ดีแล้วหล่ะ พี่อยากไปบ้างจัง พี่ก็อยากลองทำดูบ้างนะ…” ฉันก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจ ซึ่งเป็นคำถามที่ยังไม่เคยเอ่ยออกไป อยากทำแล้วทำไมไม่ลองมาดูหล่ะ? นี่คือสถานแห่งบ้านทรายทองที่ฉันปองมาสู่… นึกว่าตัวเองเป็นพจมานลากกระเป๋าเข้าบ้านทรายทองซะแล้ว ฉันเคยมีโอกาสแวะเข้ามาที่มูลนิธิสองครั้งแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าที่นี่เงียบสงบและอบอุ่นเสมอ ฉันถูกจัดให้อยู่บ้านหลังเดียวกับน้องๆ ฝึกงานทั้งหมด 8 คน จากที่เคยมีห้องนอน ห้องน้ำส่วนตัว ตอนนี้ก็ต้องปรับตัวโดยการนอนรวม ใช้ห้องน้ำรวม ช่วยกันดูแลทำความสะอาดบ้าน ต้องเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ การอยู่อาศัยกับคนแปลกหน้าไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับฉันนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกทำใจยากทุกครั้งที่ต้องทำมันก็คือ การอาบน้ำเย็นๆ จากตุ่ม เนื่องจากมูลนิธิกระจกเงาตั้งอยู่ในหุบเขา อากาศจึงค่อนข้างจะเย็นสักหน่อย ฉันดิ้นเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้าทุกครั้งที่ต้องอาบน้ำ ใครจะคิดว่าเดือนตุลาอากาศมันจะเริ่มหนาวแล้ว กว่าฉันจะทำใจสระผมได้ ก็ปาเข้าไปวันที่สามของการอยู่ที่นี่ แต่เอาหน่า เข้าห้องน้ำแล้วเอาน้ำราดๆ ผนังเอา ไม่มีใครรู้หรอก ว่าเราได้อาบน้ำจริงๆรึป่าว! ระหว่าอยู่ที่นี่ ฉันจะต้องปรับเปลี่ยนนาฬิกาชีวิตใหม่ เข้านอนเร็วประมาณสี่ทุ่ม และตื่นไม่เกินเจ็ดโมงเช้า แต่การอยู่ที่นี่มันทำให้ฉันมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาหยิบหนังสือที่ชอบมานั่งอ่านก่อนนอน มีเวลานั่งเงียบๆ […]

IMG_0388.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่12 “ความสุขของ…” (ตอนจบ)

“ความ สุข ของ …” ความสุขจริงๆของชีวิต เหมือนบางครั้งเราจะรู้ว่าความสุขคืออะไร เหมือนบางครั้งเราสามารถพูดออกมาว่าสิ่งนี้แหละคือความสุข ความสุขของใครต่อใครมันมากมายไม่เหมือนกัน สุดที่ใครจะพอใจกับสิ่งไหน ความสุขของบางคนได้กล่าวขึ้นหลังจากที่รู้สึก แต่ความสุขของคนบางคนอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ยังไม่ลงมือทำ วันแรกที่ฉันได้เริ่มเดินทาง การเจอเพื่อนในค่ายคนแรก การได้ก้าวขาขึ้นรถคนเดียว การได้เดินทางโดยที่สองข้างทางฉันไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน การนอนหลับในที่ที่ไม่คุ้น การเข้าห้องน้ำห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มันเคลื่อนที่ไปเคลื่อนที่มา การแวะพักกินข้าวระหว่างทางที่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าที่นี่คือจังหวัดอะไร อำเภออะไร แต่เรื่องราวเหล่านี้สามารถทำให้ฉัน…..ยิ้มได้ วันที่สองที่ฉันได้เดินทางไปถึงยังจุดหมายการที่ฉันได้เจอกับคนที่ไม่รู้จัก การได้พบกับทีมงานครั้งแรก การได้ร่วมกินข้าวกับใครต่อใครมากมายที่เรายังไม่รู้นิสัยใจคอกัน การเจอเมนูพิสดารสำหรับฉันนั่นก็คือเมนูผัก การเจอเส้นทางของถนนที่ขรุขระ การที่ต้องออกไปแนะนำตัวเองแล้วต้องมีท่าทางประกอบ การออกไปแสดงละครให้ทุกๆคนดู การได้ทำอะไรต่อมิอะไรที่ฉันเองยังไม่เคยทำ แม้บางครั้งจะรู้สึกว่า เราจะทำได้หรือไม่นั้น มันกลับสร้างความสุขขึ้นมาแทนความเครียดของฉัน ฉันคิดว่าการที่ฉันไม่ได้แตะมือถือตลอดสามวันสามคืน มันทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจมาก การไม่ได้รับข่าวสาร การไม่ได้ติดต่อใคร การไม่ได้เห็นเรื่องราวของใครบางคนมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไม่รู้จักใครเหล่านั้นเลย แต่บางครั้งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าทางบ้านจะกังวลหรือเปล่า จะเป็นห่วงมากไหม จะโทรหาฉันบ้างหรือป่าว เพราะพ่อเป็นคนที่หวงฉันมาก ขนาดท่านรู้ว่าขึ้นเขามามันไม่สามารถติดต่อได้เลยนั้น แต่ฉันถึงกับตกใจเมื่อฉันลงจากดอย มือถือเริ่มมีสัญญาณ มิสคอลเข้าเกือบเป็นร้อยๆข้อความ พอเปิดดูก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นของพ่อกันแม่ทั้งนั้น 555 ขนาดไลน์และเฟชบุ๊คพ่อกับแม่ยังส่งหาฉัน ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าฉันไม่สามารถอ่านได้ แต่เรื่องราวเหล่านี้มันกลับทำให้ฉันแอบขำคนเดียว และยิ้มมีความสุขขณะนั่งรถออกมาจากหมู่บ้าน เพราะทำให้ฉันรู้ว่า ไม่มีผู้ชายและผู้หญิงคนไหนในโลกรักเราและเป็นห่วงเรามากขนาดนี้  นาทีนั้นมันทำให้ฉันว๊าปเข้าไปในความคิดเมื่อคร่าหนึ่งอีกครั้ง ครั้งที่ฉันดื้อดันจะไปเรียนที่ปัตตานีให้จนได้ หากวันนั้นฉันได้ไปเรียนจริงๆ […]

C360_2015-04-23-10-33-49-230.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่11 “ณ วันหนึ่ง”

๑๑.“ณ วันหนึ่ง” กาลครั้งหนึ่ง การที่เด็กคนหนึ่งซึ่งไม่ได้มีฐานะดีไปกว่าการใช้ชีวิตให้พอเพียง ตัดสินใจแบกกระเป๋าเดินทางฝ่าความหวังต่างๆขึ้นไปบนที่ที่หนึ่ง ซึ่งสูงมาก เดินก้าวไปในทางที่ยังไม่รู้ว่าจะพบกับอะไร จนสุดท้ายปลายทางก็ได้เป็นบทพิสูจน์ว่า สิ่งนี้มันไม่ยาก ถ้ามีการลงมือครั้งแรก ฉันเชื่อมั่นในความรู้สึกของฉันว่า วันแรกของค่าย และวันสุดท้ายของที่นี่มันช่างแตกต่างกันลิบลับ การที่ฉันไม่รู้อะไรในตอนต้น จนได้เรียนรู้มาเรื่อยๆในระดับกลาง จนถึงช่วงสุดท้าย มันกลับทำให้ฉันได้เข้าใจว่าแม้จะสิ้นสุด แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อ ฉันแบกกระเป๋าขึ้นหลังกระบะของรถทีมงานที่มารอรับเราเพื่อที่จะพาเราลงเขาทางหลังหมูบ้าน เดี่ยวนะมีทางที่รถสามารถขึ้นมาได้ด้วย งั้นแสดงว่าวันแรกเราโดนทีมงานหลอกให้เดินขึ้นเขากันเหรอเนี่ยะ 555 อย่าเรียกว่าโดนหลอกเลย ต้องขอบคุณทางทีมงานมากกว่า ที่สอนให้เราได้รู้จักคำว่าลำบาก แม้จะมองว่าเป็นเรื่องลำบาก แต่สำหรับฉันเป็นอะไรที่ท้าทาย และสนุกมาก บางครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการความสบายเสมอไป ทุกๆคนได้แต่กล่าวคำล่ำลากัน ต่างก็โบกไม้โบกมือ รีบเก็บภาพถ่ายกันจนวินาทีสุดท้าย ส่วนตัวฉันนะเหรอ รีบเดินขึ้นรถไปตั้งนานแล้ว ฉันไม่มีแม้แต่กระทั้งคำพูดว่าลาก่อน ฉันไม่มีแม้กระทั้งจะมองหันหลังกลับไปสบตาใคร สิ่งเดียวที่ฉันทำในตอนนั้นเป็นครั้งสุดท้ายคือ การมองหน้าเด็กน้อยนะโจและการมองไปรอบๆหมู่บ้านแค่แว๊บหนึ่ง วันนี้นะโจเงียบจนสังเกตได้ ไม่เข้ามาเล่นด้วย เหมือนจะรู้แล้วว่าฉันจะต้องกลับบ้าน ฉันมองหน้าเด็กน้อย แต่เด็กน้อยไม่มองตอบ ฉันไม่มีแม้แต่คำพูดสุดท้าย อาจจะดูเหมือนโหดร้ายสำหรับใครบางคน แต่จริงๆแล้วฉันเป็นคนเดียวที่รู้ความรู้สึกของฉันดี แม้ภายนอกจะดูว่าฉันสดใส ร่าเริง แต่จริงๆฉันเป็นคนที่อ่อนต่อความรู้สึกในบางครั้ง ฉันรู้ดีว่าถ้าหากฉันพูดอะไรออกไป น้ำตาของฉันจะต้องไหลออกมาแน่ๆ สิ่งเดียวที่ฉันยังคงทำได้คือการยิ้ม ยิ้มให้ทุกๆคนได้เห็น ว่าฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ ยิ้มเพื่อเป็นการสั่งลาหมู่บ้านแห่งนี้ […]

1459649097680.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่10 “แสงแห่งการจากลา”

๑๐.“แสงแห่งการจากลา” ดวงอาทิตย์-พระจันทร์ สายฝน เมฆ หมอก ดวงดาว เป็นสิ่งที่ต้อนรับพวกเราชาวค่ายตั้งแต่วันที่ขึ้นมาอยู่บนเขาลูกนี้  โดยเฉพาะสายฝนให้การต้อนรับเป็นอย่างดีกว่าใครๆ ทุกๆเช้าฝนมักจะโปรยลงมาต้อนรับเราเสมอ ฉันถามน้าผู้ชายว่า ฉัน: “น้าคะปกติที่นี่ฝนตกบ่อยไหมคะ” น้าผู้ชาย: ยิ้มเล็กๆ “ปกติแดดจะออกครับครู ฝนตกตั้งแต่วันที่ครูมากันนะครับ” ฉันคิดว่านี่พวกเราคงจะพาฝนมาจากกรุงเทพกันละสินะ ช่างดีเหลือเกิน ฝนมาต้อนรับกันถึงที่นี่ ตั้งแต่ฉันมาอยู่บนนี้ น้อยมากที่ฉันจะเห็นแดดส่องแบบจ้าๆ ส่วนใหญ่เห็นแต่เม็ดฝนเล็กๆที่โปรยลงมาตอนเช้าๆ และก็ฝนลูกโตๆที่ชอบตกลงมาตอนที่พวกเรากำลังลงมือทำงานกัน   แต่ละคืน ฉันได้แต่แหงนมองขึ้นบนท้องฟ้า ในคืนแรกกลับเจอแต่ฟ้ามืดดำ เวิ้งว้างไม่เห็นอะไรสักนิด  มืดสนิทแม้กระทั้งรอบๆตัวฉัน   เมฆหนาๆ ในตอนเช้าที่ดูเหมือนจะเป็นตัวอะไรสักอย่าง ที่เรามักจะจินตนาการไปเรื่อยๆเมื่อนั่งมอง ฟ้าเพลินๆ แต่เมฆตอนนี้สีไม่ค่อยจะสดใสสักเท่าไหร่ ดูยังไงก็หม่นๆ มืดๆ ใช่แล้ว ฝน กำลังตั้งเค้ามาอีกแล้ว  เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลย ตอนนี้ก็รีบหามุมยืนหลบฝนให้เร็วเลย คืนที่สอง ดีขึ้นมาหน่อยที่ตกดึกคืนนี้ ท้องฟ้าเริ่มมีดาวให้เห็น เหมือนกับมีเพชรเปล่งแสงยังไงยังงั้น มองแล้วก็รู้สึก สดชื่นขึ้นมาหน่อย สำหรับฉันแค่การได้นั่งมองดาวถือว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มาก ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ ทุกๆครั้งที่ฉันมองดาว ฉันรู้สึกเหมือนดาวกำลังบอกอะไรกับฉัน และทำให้ฉันยิ้มได้โดยไม่ต้องมีบทสนทนาอะไรเลย แต่บางครั้งดวงดาวก็เล่นตลก […]

DSC_3675.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่9 “รอยยิ้ม จากแม่แฮง”

๙.รอยยิ้ม จาก แม่แฮง “สิ่งมีค่า ที่ตีมูลค่า ราคา ไม่ได้” เคยคิดไหมว่ามีสิ่งมีค่ายิ่งกว่า เงิน ทอง เคยคิดไหมว่ามีสิ่งหายากยิ่งกว่า เพชร นิล จินดา เคยคิดไหมว่าชีวิตจะมีความสุขจากสิ่งอื่นมากกว่า การเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ การกินนอนอย่างสบายไปแต่ละวัน …… ฉันก้าวเหยียบที่นี่ในวันแรก วันนั้นยังจำได้ดี สิ่งที่ทำให้ฉันยิ้ม  สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกหายเหนื่อย สิ่งที่ทำให้ฉันต้องหลงใหลราวกับถูกมนต์สะกด ณ หมู่บ้านแห่งนี้ คือ รอยยิ้มแรก จากคุณยายท่านหนึ่ง ที่เดินสวนทางกันตรงทางขึ้นหมู่บ้าน การที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลาไม่กี่คืน เมื่อเท้าฉันมันย้ำไปสัมผัสที่ไหนสักแห่งของหมู่บ้าน สิ่งเดียวที่ฉันได้พบก็คือ “ทรัพย์” ที่ฉันไม่สามารถตีค่าเป็นเงินบาทได้ ทรัพย์ที่ฉันไม่รู้ว่าหากฉันลงจากดอยแห่งนี้ไป ฉันจะหาซื้อที่ไหนได้อีกบ้าง ชาวบ้านทุกๆคนทักทายด้วยการ มอบรอยยิ้มให้ฉัน คนรับอย่างฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นไม้ที่ได้รับการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เพราะฉันรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจจริงๆ ได้เห็นรอยยิ้มจากชาวบ้านว่ามีความสุขแล้ว การได้ลงมือทำอะไรให้เด็กๆ แล้วได้สิ่งตอบแทนกลับมาเป็นรอยยิ้มนั้น มันช่างมีความสุขมากที่สุด การได้เห็นยิ้มจากเด็กๆ การได้ยินเสียงหัวเราะจากเด็กๆที่นี่มันทำให้ฉันรู้สึกแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะรอยยิ้มที่ฉันกำลังยืนมองดู เป็นรอยยิ้มที่มาจากการให้ของฉันและทุกๆคน ให้ในสิ่งที่พวกเราเองไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้ในสิ่งที่พวกเราอยากจะมอบให้แก่เขาเหล่านี้ เมื่อกวาดสายตาไปทั่วๆห้องเรียนห้องหนึ่ง มองดูและจดจ่องหน้าของชาวค่ายที่ต่างก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานในสิ่งที่ตัวเองได้รับมอบหมายแล้ว ฉันภาคภูมิใจมาก ที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ […]

DSC_3803.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่8 “ล่อง หน”

  ๘.“ล่อง หน” อาหารหายไปไหน (กันนะ) ทุกๆวันฉันมักจะเข้าครัวทำกับข้าวเอง และมีนะโจกับพี่สาวคอยเป็นลูกมือ ช่วยหยิบจับ หันโน้นนี่ไปเรื่อยๆ และดีตรงที่เราสามคนมีเวลานั่งพูดคุย หยอกล้อกันในเวลาทำกับข้าว ทุกๆวันแม่ของนะโจจะหุงข้าวตั้งไว้ให้พวกเราหนึ่งหม้อ และเป็นเรื่องที่ดีที่น้าเขาหุงข้าวไว้ให้ ไม่  งั้นฉันกับพี่สาวคงจะได้กินข้าวดิบแน่ๆ หรือไม่ก็อาจจะทำไฟไหม้บ้านเพราะนั่งหุงข้าวกับเตาฟืนนี่หละ  ข้าวที่นี่เหนียว นุ่ม อร่อยมากๆเลย   วันนี้ฉันทอดปลาเค็มที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้ และผัดผักกระหล่ำปลีกับหมู  ฉันเป็นคนปรุงอาหาร  ทุกอย่าง ฉันได้แต่หวังว่าแต่ละมื้อจะไม่ทำให้ใครต้องท้องเสีย 5555   น้าผู้ชาย: “หวัดดีครับครูครับ กินข้าวกันหรือยัง”   ฉัน: “ยังเลยคะ กำลังทำอยู่เลย น้ากินรึยังคะ” น้าผู้ชาย: “ยังเลยครับ บ้านผมกำลังทำอยู่เหมือนกัน เลยขึ้นมาดูบ้านครูว่าทำอะไรกินกันหรือยัง” ฉัน: “น้าคะคนที่นี่เขากินอาหารรสชาติยังไงเหรอคะ” น้าผู้ชาย:  “เขาชอบกินเค็มๆ เผ็ดๆครับครู ถ้าหวานๆเขาไม่ชอบหรอกครับ ที่บ้านเกือบทุกหลังเขาจะไม่ค่อยซื้อน้ำตาลไว้กันครับ” ฉัน: “ออ ว่าทำไม ฉันหาน้ำตาลมาหลายวัน ไม่มี ขอบคุณมากเลยคะ” กับข้าวทุกอย่างเสร็จพร้อมตักลงจาน กลิ่นปลาเค็มแตะจมูกตั้งแต่ลงทอดในกระทะ และ […]

IMG_7545.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่ 7 “หวาน เย็น”

๗.“หวาน เย็น” หิมะบนหุบเขา ใครจะเชื่อว่าบนเขาลูกนี้จะมีหิมะด้วย ใครจะเชื่อว่าฉันจะมีความสุขกับเจ้าหิมะที่นี่เสียมากๆ ก่อนขึ้นเขามาฉันคิดว่า น้ำหนักฉันคงจะลดแน่ๆ จากที่ผอมอยู่แล้ว คงจะผอมเข้าไปอีก ก่อนขึ้นมา คงคิดว่าในหมู่บ้านคงไม่มีร้านค้า หรืออะไรเลย และนั่นก็เป็นจุดที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อฉันบังเอิญเดินผ่านร้านค้า อะไรนะ! ร้านค้า ร้านขายของนะเหรอ   ที่นี่มีร้านขายขนมด้วย ดูเหมือนไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวละที่ดีใจ 555 ดูเหมือนว่าพวกพี่ๆทุกคนจะดีใจ กับการมีร้านขายขนมอยู่บนเขา ฉันทึ่งกับร้านร้านนี้มาก ขนมสมัยที่ฉันยังอายุไม่กี่ขวบที่ฉันไม่ค่อยจะเห็น มานานหลายปีแล้ว ฉันกลับมาเจอมันอีกครั้งที่บนเขา และที่น่าแปลกอีกคือ มีขนมแปลกๆที่ฉันไม่เคยเห็นที่ ไหนมาก่อนเยอะแยะเต็มไปหมด ใครจะเชื่อว่าจะมีร้านค้าอยู่บนนี้  แอ่ะ! แล้วตรงนั้นคนมุงอะไรกัน เกือบจะติดกับรั้วบ้านฉันเลย  ฉันและพี่ในค่ายลองเดินไปสำรวจ โหว!! มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวด้วยแหละ อีกอย่างนะติดๆกันมันแจ่มมาก  มันคือร้านน้ำแข็งใส นี่มันหิมะแห่งขุนเขาชัดๆ ฉันดีใจมากที่สุดเลย ที่มีของเย็นๆขาย   ไม่รอช้าฉันรีบเดินไปสั่งน้ำแข็งใสฉบับชาวเขา ฉันคุยกับน้าคนขายไม่รู้เรื่องหรอก ใช้ภาษามือเอา น้าคนขายดูเหมือนจะเขินนิดหน่อย บดน้ำแข็งไปยิ้มไป ตอนจ่ายเงินฉันชี้ที่น้ำแข็งใส แล้วยืนแบงก์ให้ดู ประมาณถามน้าว่า นี่ราคาเท่าไหร่ น้าคนขายดูแล้วก็เข้าใจ ชูนิ้วบอกว่า ห้าบาท […]

DSC_0276.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่6

๖.“   Signal….” ตัดขาดสัญญาณ หลายๆคนพยายามหาสัญญาณโทรศัพท์  หลายๆคนพยายามติดต่อกับคนในโลกภายนอก……. หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งคืนที่นี่ ตอนเช้าฉันรีบตื่นตั้งแต่ใกล้ๆจะหกโมง ตั้งใจลุกขึ้นมาดูหมอก ฉันคิดในใจเดี่ยวเดินเปิดประตูออกไปหมอกต้องเยอะแน่เลย ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างที่คิด เปิดประตูมา ฝนโปรยดอกเล็กๆแต่เช้ามืดเลย และฉันก็คิดว่าคงจะตกทั้งวัน ฉันเลยหันหลังกลับไปหยิบอุปกรณ์ เสื้อผ้า เพื่อที่จะลงไปอาบน้ำ จะได้รีบมาทำมื้อเช้า ดูเหมือนวันนี้ฉันจะตื่นก่อนชาวค่ายคนอื่นๆ เพราะตื่นมาก็เงียบมาก และที่สำคัญเจ้าของบ้านของบ้านฉันหายไปอีกแล้ว คนที่นี้ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด วันนี้อากาศหนาวมาก บวกกับน้ำที่นี้ต่อท่อมาจากลำธาร ทำให้หนาวเพิ่มยกกำลังสองกันเลยทีเดียว ขนาดเปิดก๊อกแปรงฟันนะ ปากฉันนี่ชาไปพักหนึ่งเลย ปกติฉันเป็นคนที่เคร่งเรื่องการใช้น้ำมาก ฉันไม่ได้คุณฉันหรืออะไรเลย แต่ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆจนติดเป็นนิสัย น้ำที่จะเข้าปากฉันต้องเป็นน้ำที่ซื้อมาและน้ำที่ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเท่านั้น เพราะไม่งั้นฉันจะคิดมาก ขนาดน้ำฝนที่บ้านตัวเองฉันก็ยังไม่ค่อยกล้าอมสักเท่าไหร่ ประมาณว่าฉันกลัวมีตัวอะไรอยู่ในน้ำ ที่เราไม่สามารถมองเห็น แอบคล้ายคนโรคจิตนะว่าไหม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฉันชะงักไป จะทำยังไงดี ฉันเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็เริ่มคิดว่า ใช้ไปเหอะถ้าเรื่องมากแล้วจะมาที่นี่ทำไม คนที่นี่เขาก็ใช้ได้ ใช้กันมานาน คนอื่นๆที่มาค่ายเขาก็ใช้ได้ จะคิดอะไรมาก ฉันก็เลยเปิดก๊อกเพื่อแปรงฟัน สุดท้ายมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย เสร็จจากธุระในห้องน้ำผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันเดินขึ้นบ้านก็ยังไม่เห็นใครเลย ฉันเลยนั่งจัดของใกล้ๆกระเป๋า ทำไงก็ได้ให้เสียงเบาสุดเพราะพี่สาวยังไม่ตื่นเลย บังเอิญไอ้นาฬิกาปลุกที่ฉันตั้งไว้มันดันปลุก ฉันก็ลืมปิดเพราะฉันตื่นก่อนเวลา พี่สาวเลยรู้สึกตัว 555 […]

12596086_953353348075274_1015952558_n.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่5

๕.“แกะ ดำ”   รูปพรรณ สัณฐาน   ฉันหยุดหายใจตรงทางเดินเข้าหมู่บ้าน ซึ่งทุกๆคนก็หยุดถ่ายรูปตรงนี้และพักหายเหนื่อย มีชาวบ้าน  คนหนึ่งเดินแบกตะกร้าใส่ของสะพายหลังกำลังเดินลงไปด้านล่าง ดูจากการแต่งกายถ้าเดาไม่ผิดเหมือนจะไปทำสวน ถ้าดูจาก หน้าตาอายุก็คงจะเป็นยายฉันก็ว่าได้ พวกเราทักทายสวัสดีคุณยายด้วยความตื่นเต้น คุณยายก็หันมายิ้ม   ทักทาย พร้อมยืนชูสองนิ้วให้เราได้ถ่ายรูป     การเจอคุณยายเป็นคนแรกทำให้รู้เลยว่า เราทั้ง27ชีวิตจะคุยกับคนที่นี่ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาพูดภาษา   มูเซอกัน เอาละแค่คิดก็สนุกแล้วสิ เส้นทางข้างหน้าที่จะเดินย่ำเข้าไปในหมู่บ้านจะเจออะไรนะ ……. ว๊าว!! บ้านที่นี้ทุกหลังทำด้วยไม้ไผ่ ต้นไผ่หนึ่งต้นสามารถนำมาตีให้เป็นซี่เล็กๆแล้วนำมาประกอบเป็นบ้าน ทุกหลังจะยกสูง ต้องเดินบันไดขึ้นไป ถ้าก้าวไม่ดีคุณอาจจะพลาดได้ และมีใต้ถุนที่เราสามารถยืนได้ มองดูรอบๆทุกๆบ้านจะมีรั้วล้อมรอบด้วยไม้ไผ่หมด แต่ ถ้าบ้านไหนที่ฐานะดีหน่อยเขาก็จะสร้างรั้วกับปูนซีเมนต์  แต่ก็มีไม่กี่หลัง ทีมงานนำทางพวกเราไปยังที่พักของผู้ใหญ่บ้านและที่พักของครูอัครเดช ครูอัครเดชเป็นครูประจำหุบเขาลูกนี้ ฉันชักอยากจะเจอแล้วสิ เมื่อไปถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านพวกเราต่างก็ทักทาย ยกมือไหว้ด้วยความดีใจ ทางผู้ใหญ่บ้านก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ก่อนที่ทีมงานจะปล่อยครูทุกคนไปตามบ้านก็ได้ชี้แจงกันเล็กน้อย ถึงเรื่องต่างๆและเรื่องเวลา สถานที่ ที่เราจะต้องนัดเจอกันในตอนเย็นเพื่อนทำกิจกรรมกลางคืนในวันแรกร่วมกับชาวบ้านที่นี่ ก่อนมาค่ายเราต่างก็รู้กันดีว่าในแต่ละมื้อเราจะต้องประกอบอาหารกินกันเองกับพ่อๆ แม่ๆที่บ้านที่เราต้องไปอยู่ ทีมงานเตรียมอาหารแห้ง หมู ผัก เครื่องปรุงต่างๆมาให้ แจกให้บ้านละหนึ่งชุด พี่สาวที่พักบ้านเดียวกับฉันเอ่ยปากถามฉันว่า พี่สาว: […]

DSC03348.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่4

  ๔. “วัน เวลา มาบรรจบกัน” เส้นทางเดียวกัน เจ็ดโมงเช้าฉันถึงสถานีขนส่งบ้านฝางอย่างปลอดภัย รีบโทรบอกคนที่บ้านว่าฉันถึงเชียงใหม่แล้ว เดี่ยวพอฉันเข้าเขตที่มีเขามากๆ ทุกคนก็จะติดต่อฉันไม่ได้ วางสายจากที่บ้านฉันกับพี่ใจดีก็แบกกระเป๋าลงไปหาข้าวกิน มีคนเดินลงจากรถมามากมาย ซึ่งน่าดีใจพวกพี่เขาก็เดินทางมาในจุดประสงค์เดียวกับฉัน พี่ใจดีกับฉันเดินเข้าไปถามพี่ๆกลุ่มหนึ่งว่ามาค่ายกันหรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือใช่ เราเลยรวมกลุ่มร่วมเดินทางกัน ทุกคนทำความรู้จักถามชื่อถามอายุกันใหญ่ ฉันมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือฉันคุยไม่เก่งกับคนที่ฉันยังไม่สนิทด้วย แล้วก็ออกจะเกรงใจเวลาจะคุย เลยดูเหมือนฉันเป็นคนเงียบๆกว่าใครๆในกลุ่ม ฉันไม่ได้เงียบกว่าใครในกลุ่มอย่างเดียวนะ ฉันยังอายุน้อยสุดด้วย ฉันตกใจมากที่พี่ๆทุกคนอายุมากกว่าฉันเยอะ และต่างก็เรียนจบมีงานทำกันหมดแล้ว อ้าว!! นี่ฉันเด็กสุดหรอเนี่ยะ ฉันคิดในใจ แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคของฉัน หลังจากที่ทุกคนแบกข้าวไว้ในท้องมื้อนี้เสร็จ รถทีมงานก็มาจอดรับหน้าสถานีขนส่ง นั่นก็คือจุดนัดพบนั่นเอง ทุกคนที่มาราวนับ20กว่าชีวิต ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยคุยกันมาก่อน วันนี้เราจะได้ร่วมเดินทางไปในทางเดียวกัน เพราะเส้นทางทำให้เราหลายชีวิตมารู้จักกัน ทั้งที่เราพูดภาษาต่างกัน สีผิวต่างกัน หน้าตาต่างกัน อยู่ในภูมิลำเนาที่ต่างกัน ฐานะต่างกัน แต่ทุกคนดูเหมือนว่าจะพูดคุยเข้ากันได้ด้วยดี ไร้ปัญหา ทีมงานมีรถมาสามคัน ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันได้นั่งรถคล้ายๆเป็นรถกระบะขนของ เพราะมีโครงเหล็กยื่นออกมาท้ายกระบะ อากาศที่นี่ดีมาก นั่งท้ายรถนี่หัวแทบจะหลุดออกจากบ่า ลมพัดเย็นสบาย ส่วนรถก็ขับแบบท้าทายมาก ฉันสนุกกับการนั่งรถร่วมกับพวกพี่ๆมาก ทุกคนคุยกันอย่างเมามันส์ บ่อยครั้งที่ฉันโดนแซวว่าให้พูดเยอะๆหน่อย 555 […]

DSC_0003RE.jpg

เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่3

๓.“บ้านนอกเข้ากรุง กรุงเข้าเมืองหนาว” สะพายเป้ เส้นทางไม่ใช่แค่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ปัญหาในตอนนี้ของฉันก็คือ ฉันต้องเดินทางคนเดียว อันดับแรกคือฉันต้องจองรถจากกรุงเทพไปยังเชียงใหม่ผ่านทางเว็บไซต์บริษัทรถทัวร์ ซึ่งฉันจะต้องไปลงที่จุดนัดพบที่สถานีขนส่งอำเภอฝาง ซึ่งเป็นที่ที่ฉันไม่เคยไป ไม่เคยรู้จักมาก่อน ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันพยายามไล่หาเฟชบุ๊คจากรายชื่อผู้สมัครไปเรื่อยๆ แต่ยากจังไม่พบใครเลย จนฉันเข้าหน้าเว็บเพจกิจกรรมมูลนิธิ ฉันเจอผู้เข้าสมัครโครงการคนหนึ่ง จึงได้ทักทายพูดคุยว่าจะเดินทางยังไงได้บ้าง แล้วเดินทางวันไหน โชคดีที่พี่เขาใจดี รับปากจะจองรถเผื่อฉัน พี่เขาเป็นผู้ชาย ในใจฉันก็กลัว แต่ฉันก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ครั้งนี้ไม่ค่อยกล้าเดินทางคนเดียว เลยขอเสี่ยงไปกับพี่เขาแล้วกัน แต่ฉันก็คิดบวกมากในตอนนั้น ฉันคิดว่าคนที่เข้ามาสมัครโครงการนี้ เขาจะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้แน่ๆ ฉันเลยบอกแม่ว่าฉันให้ใครจองรถ ไปยังไง พี่เขาเป็นใคร ในความที่พี่เขาอายุมากกว่าฉันเยอะเลย แม่เลยไม่ค่อยจะกังวลอะไรเท่าไหร่ การจองรถกรุงเทพ-ฝาง ก็ผ่านไปด้วยดี ทีนี้ฉันก็ต้องเตรียมสะพายเป้เข้าเมืองหลวงอีกรอบ กรุงเทพเป็นที่ที่ฉันคุ้นเคยดี เพราะช่วงปิดภาคเรียนฉันขึ้นไปทำกิจกรรมกับมหาวิทยาลัยต่างๆบ่อยโดยเฉพาะคณะวิทย์ ของมหาวิยาลัยหนึ่งแถวพญาไท  ฉันเข้าออกเป็นว่าเล่น โดยอาศัยป้าเป็นคนขอแม่อีกเช่นเดิม ฉันไปไหนมาไหนได้ดีเยี่ยมเลยแหละในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นมุมไหน ซอกไหน ฉันสามารถนั่งรถไปได้ทุกที และต่อไปนี้ที่ฉันจะเล่ามันเป็นความจริงคือ ฉันไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ในบ้านตัวเอง ถ้าถามว่าที่นี่ที่ไหน ตรงนี้ไปยังไง ฉันไม่สามารถตอบได้ เพราะฉันไปไม่ถูกเลยสักที่ พูดง่ายๆว่าฉันหลงในจังหวัดตัวเอง 555 และไม่นานฉันก็จองรถจากบ้านฉันขึ้นกรุงเทพเพื่อไปปักหลักอยู่ที่นั้นสองสามวันก่อนจะเดินทางไปเชียงใหม่ ฉันมีความจริงจะบอกในทุกๆครั้งที่ฉันขึ้นรถไปกรุงเทพฉันมักจะน้ำตาซึมตอนที่พ่อแม่และน้องยืนโบกมือ อยู่ข้างนอกรถ […]