๑๐.“แสงแห่งการจากลา”
ดวงอาทิตย์-พระจันทร์
สายฝน เมฆ หมอก ดวงดาว เป็นสิ่งที่ต้อนรับพวกเราชาวค่ายตั้งแต่วันที่ขึ้นมาอยู่บนเขาลูกนี้ โดยเฉพาะสายฝนให้การต้อนรับเป็นอย่างดีกว่าใครๆ ทุกๆเช้าฝนมักจะโปรยลงมาต้อนรับเราเสมอ
ฉันถามน้าผู้ชายว่า
ฉัน: “น้าคะปกติที่นี่ฝนตกบ่อยไหมคะ”
น้าผู้ชาย: ยิ้มเล็กๆ “ปกติแดดจะออกครับครู ฝนตกตั้งแต่วันที่ครูมากันนะครับ”
ฉันคิดว่านี่พวกเราคงจะพาฝนมาจากกรุงเทพกันละสินะ ช่างดีเหลือเกิน ฝนมาต้อนรับกันถึงที่นี่ ตั้งแต่ฉันมาอยู่บนนี้ น้อยมากที่ฉันจะเห็นแดดส่องแบบจ้าๆ ส่วนใหญ่เห็นแต่เม็ดฝนเล็กๆที่โปรยลงมาตอนเช้าๆ และก็ฝนลูกโตๆที่ชอบตกลงมาตอนที่พวกเรากำลังลงมือทำงานกัน
แต่ละคืน ฉันได้แต่แหงนมองขึ้นบนท้องฟ้า ในคืนแรกกลับเจอแต่ฟ้ามืดดำ เวิ้งว้างไม่เห็นอะไรสักนิด มืดสนิทแม้กระทั้งรอบๆตัวฉัน
เมฆหนาๆ ในตอนเช้าที่ดูเหมือนจะเป็นตัวอะไรสักอย่าง ที่เรามักจะจินตนาการไปเรื่อยๆเมื่อนั่งมอง ฟ้าเพลินๆ แต่เมฆตอนนี้สีไม่ค่อยจะสดใสสักเท่าไหร่ ดูยังไงก็หม่นๆ มืดๆ ใช่แล้ว ฝน กำลังตั้งเค้ามาอีกแล้ว เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลย ตอนนี้ก็รีบหามุมยืนหลบฝนให้เร็วเลย
คืนที่สอง ดีขึ้นมาหน่อยที่ตกดึกคืนนี้ ท้องฟ้าเริ่มมีดาวให้เห็น เหมือนกับมีเพชรเปล่งแสงยังไงยังงั้น มองแล้วก็รู้สึก สดชื่นขึ้นมาหน่อย สำหรับฉันแค่การได้นั่งมองดาวถือว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มาก ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ ทุกๆครั้งที่ฉันมองดาว ฉันรู้สึกเหมือนดาวกำลังบอกอะไรกับฉัน และทำให้ฉันยิ้มได้โดยไม่ต้องมีบทสนทนาอะไรเลย แต่บางครั้งดวงดาวก็เล่นตลก ชอบทำให้ฉันรู้สึกเหงา
ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะให้การตอบรับเราเป็นอย่างดี ยกเว้นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จนกระทั้ง วันสุดท้ายของการอยู่ค่าย ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดที่ว่า “วันนี้ก็คงจะเหมือนปกติ ฝนคงจะตกอีก สินะ” แล้วฉันก็ถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้ง ได้แค่พูดว่า จะกลับอยู่แล้ว ยังไม่เห็นแดดสดใสๆของที่นี่เลย
และก็เหมือนเดิมเป็นแบบที่คิดไว้ไม่มีผิด อากาศอึมครึ้มอีกเช่นเคย ฉันก็ได้แต่ภาวนาขอให้เย็นนี้ ฟ้าฝนเป็นใจให้พวกเราได้จัดกิจกรรมที่ลานหน้าหมู่บ้านได้ด้วยเถอะ ถ้าฝนตกดูท่าว่าคงหมดสนุก และคงจะอดเห็นการแสดงของชาวบ้านแน่ๆ
และแล้วก็ต้องเอ่ยขอบคุณท้องฟ้า ตอนเย็นวันนี้ท้องฟ้าสดใสกว่าที่เคยเห็น แหงนมองขึ้นฟ้าก็เห็นดวงจันทร์ครึ่งดวงในขณะที่ฟ้ายังคงสว่าง เด็กๆและชาวบ้านดูเหมือนดีใจ เสียงดังมากจากเด็กๆหน้าบ้าน
นะโจ: “ครูๆ มากระโดดให้ดูหน่อย”
เด็กๆกำลังเล่นกระโดยางกันอยู่ ดูท่าทางสนุกใหญ่ เอาหละ เด็กๆเรียกร้องก็ลงไปร่วมแจมกระโดดยางสักหน่อย
เสียงจากเด็ก: “ครูๆโดดเลย โดดเลย”
ฉันตั้งหลักได้ก็วิ่งแล้วกระโดด ฮึ้บ!! ดูเหมือนว่าฉันเล่นในสิ่งที่ไม่ดูสังขาร อายุ และร่างกายตัวเอง ลืมไปใช่ไหมว่ากระโดดยางมันนานมาแล้วสำหรับฉัน ฉันกระโดดข้ามไม่พ้นสายยาง ขนาดความสูงของยางก็ไม่มากอะไรเลย รู้สึกอายเด็กๆ เพราะ เด็กๆหัวเราะชอบใจกันใหญ่
ดูเหมือนว่าฉันจะตัวเล็กจริงๆ นะโจเห็นฉันกระโดดยางไม่ได้เลยเดินมาอุ้มฉัน เจ้าเด็กคนนี้แข็งแรงจริงๆอุ้มฉันตัวปลิวเลย ณ ตอนนี้ที่ได้ยินผ่านเข้ามาในหูของฉันมันมีแต่เสียงของความสุข จนทำให้ฉันลืมว่า พรุ่งนี้ฉันต้องเดินทางกลับไปยังที่ของฉัน
ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าสวยมาก สวยกว่าคืนไหนๆ ไม่ใช่มีแค่เพียงดวงดาวที่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่มีเพื่อนคู่ใจอย่างดวงจันทร์ออกมาเคียงข้างเป็นเพื่อนดวงดาวในคืนนี้ สงสัยทั้งสองคงจะคืนดีกันแล้ว ดวงจันทร์เลยยอมออกมาอยู่เป็นเพื่อนดวงดาว คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าราวกับว่าหิ้งห้อยกำลังบินผ่านไปมาอย่างช้าๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก
ไหนๆก็คืนสุดท้ายที่นี่แล้ว ฉันเลยตั้งหลักว่าจะไม่นอน จะขอนั่งดูดาวอยู่หน้าบ้านแบบนี้จนสว่างเลย สุดท้าย !! ช่างพร้อมใจกันจริงๆเลยเชียว เจ้าหมาในหมู่บ้านพร้อมใจกันเห่า หอน ดังลั่นไปหมด ในใจนึกไม่เป็นไรหรอกเดี่ยวก็คงหยุดเห่ากัน บรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี แต่ฉันก็ทำใจแข็งไม่คิดอะไร เลยนั่งต่อ สักพักก็มีคนเดินอยู่ตรงลานหมู่บ้าน เสียงหมาหอนที่ว่าตกใจแล้ว เจอนี่เข้าไปทำให้คิดไปเอง มันน่าตกใจยิ่งเสียกว่า
ฉันรีบวิ่งเข้าบ้านไปแบบตกใจ พี่สาวเลยถามฉัน
พี่สาว: “อ้าว เป็นอะไร เข้ามาเร็วจังไหนบอกว่านั่งดูดาว”
ฉัน: “คงไม่ไหวแล้วคะ หมาเล่นทั้งเห่า ทั้งหอน แถมตะกี้ไม่รู้ใครเดินอยู่แถวลานใกล้ๆบ้าน”
พี่สาว: “555 เอาแล้วไง เจอใครสะแล้วหละ”
ฉัน: “ขอตัวนอนดีกว่าคะพี่สาว เจอแบบนี้อาจจะช็อกได้ 555”
เช้าของวันที่ต้องเดินทางกลับ ดูเหมือนวันนี้ฉันนอนเต็มอิ่มมากๆ หกโมงแล้วฉันยังไม่ลุกจากที่ นอนเลย ดูเหมือนจะตื่นสายมากกว่าทุกๆวัน ร่างฉันกำลังมุดอยู่ในผ้าห่มสบายเลย จู่ๆ! ก็มีมือหนึ่งมาฉุดมือ ฉันให้ลุกขึ้น ตาฉันยังไม่ทันเปิดเลย ยังงัวเงียเต็มที่ หูได้ยินแค่ว่า “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
ฉัน: “อะไรนะ” อาการฉันตอนนั้น งัวเงียและอยากนอนต่อมากๆ
พี่ผู้หญิงข้างบ้าน: “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
จากที่ง่วง งัวเงีย ได้ยินว่า พระอาทิตย์ขึ้น ตาฉันนี่สว่างขึ้นมาทันทีรีบลุกวิ่งแจ้นออกไปกับพี่เขา ทันที
พี่ผู้หญิงข้างบ้าน: “เดี่ยวรอพี่ตรงนี้ก่อนนะ เดี่ยวพี่จะเข้าไปปลุกพี่สาวพี่ก่อนในบ้านหลังนั้น”
ฉัน: “ได้คะ”
ด้วยความที่ฉันอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเร็วๆ เลยแอบล่วงหน้าเดินไปก่อน ฉันรีบวิ่งลงไปที่ทางขึ้นหน้าหมู่บ้านที่ฉันเดินขึ้นมาวันแรก รีบวิ่งอย่างสุดชีวิตกลัวไม่ทัน หมาในหมู่บ้านก็เต็มไปหมด น่ากลัวจริงๆ มันพากันเห่าตอนฉันวิ่งลงไป ฉันต้องวิ่งฝ่าดงหมานับสิบเพื่อลงไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงเชิงเขา
และแล้วก็ถึงจุดชมพระอาทิตย์ ภาพที่อยู่ตรงหน้า แสงอุ่นๆที่ค่อยๆสาดส่องเข้ามายังร่างของฉัน ดวงตาที่กำลังเบิกกว้าง ค่อยๆหลี่ตาลง พระอาทิตย์ดวงโตกำลังค่อยๆโผล่ขึ้นมา แสงสีทองที่กำลังปกคลุมเขาไปทั้งลูก ฉันยืนดูอย่างไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ฉันไม่เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นชัดๆแบบนี้ที่ไหนมาก่อน มันคือครั้งแรกในชีวิตของฉัน คือสิ่งที่ฉันรอคอยมานาน เป็นภาพที่สวยมากจริงๆ ฉันยืนยิ้มคนเดียว ไม่ใช่สิ ฉันกำลังยืนยิ้มให้กับพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังสาดส่องบอกลาฉันในวันนี้
ทุกๆวันที่ฝนตก พระอาทิตย์ไม่เคยจะสาดแสง อาจเป็นเพราะคงรอส่งฉันในวันกลับ ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ทุกๆวัน ฉันอาจจะไม่รู้สึกอย่างที่ฉันกำลังรู้สึกในวันนี้ก็ได้ ฉันอาจจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับตอนนี้ที่เห็น และฉันอาจจะไม่รู้สึกถึงการบอกลาที่ดี ที่ฉันกำลังยืนอยู่ตรงนี้
พระอาทิตย์และดวงจันทร์อาจจะไม่ต้องการเจอฉันในวันที่ฉันขึ้นมาที่นี่ แต่พระอาทิตย์และดวงจันทร์อาจจะอยากเจอแล้วบอกลาฉันในวันที่ฉันใช้ชีวิตวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ยืนเหยียบดินของที่นี่ก็ได้ ลาก่อนนะดวงจันทร์ ลาก่อนนะดวงอาทิตย์
ขอบคุณพี่ผู้หญิงข้างบ้านที่ทำให้ฉันได้ลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อมาบอกลากับพระอาทิตย์ดวงโต แม้เราจะไม่ได้ยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันก็ตาม
….ติดตามตอนต่อไป….