เรื่องเล่าคลุกน้ำตาล
::ตอน เมื่อความฝันกลายเป็นจริง ณ. ดอยปู่หมื่น::
เมื่อตอนเด็กๆเล็กๆยังไม่ค่อยรู้อะไร
คนเรามักจะกล้าที่จะฝันและคิดว่ามันจะเป็นจริงเมื่อตอนเราเป็นผู้ใหญ่
แต่ส่วนมากมันจะดูเป็นไปไม่ได้
ก็เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่เนี่ยเหละ
ทำไมกันน่ะ!!
ฉันก็มีความฝันเช่นนั้นเหมือนกานในวัยเด็ก
ความจริงฝันไว้หลายอย่างและหนึ่งในความหลายอย่างของความฝันเหล่านั้น
ก็คือการเป็น ครูดอย !!
และเมื่อมีโอกาส ตาลก็ไม่ลังเลที่จะคว้ามันไว้
ไม่ได้ไปเป็นอย่างสมจริงสมจัง
แต่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่มันก็เป็นความทรงจำที่งดงาม
การเดินทางไปเป็นครูอาสาในครั้งนี้
เรามีเพื่อนร่วมทางหลากหลายประเภทกลุ่มชนไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนอก
พนักงานบริษัท เจ้าของธุรกิจ ครูอาจารย์ตัวจริง
คนว่างงาน บัณทิตป้ายแดง หรือแม้แต่นักศึกษาธรรมดาๆอย่างตาล
แต่เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
เลยทำให้ภารกิจของเราดำเนินไปอย่างสนุกสนานและสำเร็จ
กับระยะเวลา 4 คืน 5 วัน กับการเผชิญทุกรสชาติชีวิตบนดอยปู่หมื่น
ท่ามกลางพายุฝนที่ตกแทบไม่หยุดตลอดทริป
วันแรกเราเริ่มเดินทางไปฝาง เตรียมงานและพักผ่อนก่อนหนึ่งคืนตื่นเช้ามาได้ชิมลางความเป็นลาหู่จากโจ๊กลาหู่
รสชาติแปลกไปหน่อยแต่ก็อร่อยดี
วันที่สอง มีการวางแผนแบ่งกลุ่มการทำงาน ชี้แจงรายละเอียดของงานและแนะนำตัว
ฝนยังคงโปรยปลายตลอดวันเราเลยต้องเดินทางขึ้นดอยท่ามกลางสายฝน
รถไม่สามารถพาเราไปสู้จุดมุ่งหมายได้ เราต้องพาตัวเองกับรองเท้าหนังแท้ที่แม่ให้มา(ตีนเปล่า)
ปีนป่ายเหยียบโคลนเหลวๆนุ่มๆลื่นๆกันไปตลอดทางการล้มไม่ต้องพูดถึง
เพราะล้มจนแทบนับจำนวนครั้งไม่ได้
บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในความฝันเพราะหมอกลงจัดมาก ขาวโพลนเต็มทางเดินไปหมด
เราใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงเราก็เดินถึงหมู่บ้าน
ชาวบ้านต้องรับอย่างดี รถขนเสื้อผ้าเสบียงเรายังติดหล่มอยู่ตีนเขา ชาวบ้านเลยให้เราใส่ชุดของพวกเขา
แล้วนอนพักผ่อนก่อน เหนื่อยและหนาวสุดๆไปเลย
ชาวลาหู่เค้าก่อกองไฟบนบ้านด้วย คลายหนาวได้อย่างดี น่าทึ่งในภูมิปัญญาจริงๆ
วันที่สาม ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับบรรยากาศดีๆ
วุ่นวายก่ะการไปขนกระเป๋าตอนเช้าตรู่นิดหน่อย
วันนี้เราจะได้ไปเป็นครูจริงๆเราต้องเดินเท้าจากหมู่บ้านไปโรงเรียน 1.5 กิโลท่ามกลางฝนเพื่อไปสอนเด็ก
เด็กที่นี้ไม่ว่าจะตัวเล็กๆหรือใหญ่ๆต้องเดินไปกลับวันล่ะ 3 กิโลเพื่อเรียนหนังสือ
ไปถึงเราก็แยกไปประจำชั้นต่างๆ
ตาลเลือกสอนอนุบาลเพราะคิดว่าเด็กๆน่าจะสอนง่ายกว่า
แต่คิดผิดมหันต์เพราะอนุบาลที่นี้ซนมาก
ฟังภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจสมาธิก็สั้นสุดๆป่วนกันไปหลายชั่วยาม
กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและหากิจกรรมเหมาะกับเด็กได้
สุดท้ายตอนบ่ายเลยให้นอนแต่กว่าจะจัดการเอาเข้านอนได้เกือบสองชั่วโมง
ไม่ยอมหลับแต่พอหลับแล้วเรียกตื่นให้ไปเอาของบริจาคและกลับบ้านก็ไม่ยอมตื่นเด็กหนอเด็กน่ารักจริงแท้
วันที่สี่ ครอบครัวแสนน่ารักที่ตาลไปอาศัยเค้าอยู่มาสองวัน
ลุกมาทำข้าวห่อใบตองให้แต่เช้าตรู่
วันนี้สนุกสุดเหนื่อยสุดๆในชีวิตเพราะต้องปีนขึ้นดอยชันละลิ่ว
แบกท่อไปทำประปาภูเขา ขนหินทำฝายแม้ว เหนื่อยมากเพิ่งเคยทำเหมือนกัน
ขั้นตอนก็ไม่ยากนักแต่วันนี้ชาวบ้านเข้ามาช่วย ช่วยได้มากๆเลยเหละ
วันนี้กินข้าวห่อใบตองกลางสายฝนในป่าเขา ลำบากแต่มีความสุขโครต
เสร็จเกือบค่ำกว่าจะถึง ชาวบ้านเค้าสอนวิธีเก็บยอดชากับการทำชาด้วย
ก็ลองไปเก็บเล่นๆกวนเล่นๆดู สนุกมาก
ตอนดึกนี้มีซึ้งสุดเพราะมีงานเลี้ยงขอบคุณ แม่บ้านบ้านตาลเอาชุดชนเผ่ามาให้ใส่ไปร่วมงานด้วย
วันนี้เค้าโชว์เต้นระบำชนเผ่า ก็เข้าไปร่วมเต้นกับเค้าด้วยสนุกมากๆเลยเหละ ได้ท่าเต้นน่ารักๆตั้งหลายท่า
วันที่ห้า วันสุดท้ายและท้ายสุด
ช่วงเช้าวันนี้รู้สึกว่าอยู่กับตัวเองมากพอสมควรได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง
และวันนี้ก็เป็นวัยที่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เค้าว่ากันว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายมันเป็นยังไง
เพราะการเดินทางกลับชาวบ้านขับรถลงมาส่งหวาดเสียวสุดชีวิต ความรู้สึกต่างจากตอนเดินลิบลับ
รถเอนไปเหมือนมันจะคว่ำ ลื่นไถลไปเหมือนจะเอาไม่อยู่ กลัวจนแบบไม่รู้จะกลัวยังไง เลยไม่มองทางดีกว่าดีขึ้นเยอะ
แต่มาตกผลึกๆความคิดตอนสุดท้ายเมื่อได้คุยกับครูวีว่า
ถ้าไว้ใจลุงคนขับแบบสนิทใจตั้งแต่แรกก็คงไม่กลัวขนาดนี้
กลับมากินข้าวและสรุปงานกันที่โรงแรม
แล้วก็ไปเดินเที่ยวน้ำพุร้อนต่อ สักพักฝนตกเลยถึงกาลเวลา
ที่ต้องลากจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทั้งหลาย
ระหว่างทางกลับมาถึงเชียงรายวันนี้เจอรุ้งกินน้ำสองเส้นคู่กันด้วย
บางทีอาจจะเป็นสัญญาณเตือนดีๆว่าชีวิตตาลกำลังจะเจอสิ่งดีๆก็เป็นได้
^_____^
น้ำตาล