เรื่องเล่าคลุกน้ำตาล ::ตอน ล่องนาวาไปตามธาราสาละวิน เยือนถิ่นปู่ทา เจอเรื่องบังเอิญ เผชิญหมู่บ้านร้าง ::
หลายครั้งในชีวิตเหลือเกิน
ที่สับสนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันแค่ความบังเอิญ หรือ โชคชะตา
ที่นำพาให้ชีวิตได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์
ในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกันพอดิบพอดี
ช่วงค่ำๆในต้นเดือน สิงหาคม 2554
นั่งดูสกู๊ปพิเศษดินโคลนถล่มที่พลัดพรากชีวิตคนในหมู่บ้านที่ไหนสักแห่ง
ตาย 7 สูญหาย 1
ตอนนั้นรู้สึกว่าสงสารจัง แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร
เรื่องราวเหล่านั้นก็แค่ผ่านหัวเสมือนข่าวสารทั่วไป
จะแตกต่างกันก็แค่กระทบความรู้สึก
ช่วงค่ำๆในต้นเดือน สิงหาคม 2555
ฉันกำลังปีบป่ายเขาลูกนี้ขึ้นมาเพื่อออกค่ายอาสา
โดยไม่รู้มาก่อนว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ที่เคยคิดว่าอยากจะช่วยเค้า
เวลาผ่านไป 1 ปี
ฉันได้มายืนอยู่บนถิ่นนี้จริงๆ
ดอยปู่ทา แม่ฮ่องสอน
บางสิ่งที่เราปราถนา บางครั้งก็แค่ต้องรอเวลา ที่เราสมควรได้รับมัน
คือสิ่งที่ฉันคิดในทริปนี้
ค่ายครูอาสาที่มีชื่อน่ารักๆว่า
รักนะ….สาละวิน
เราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่วันสุดท้ายของเดือนกรกฏาใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง
ก็ถึงที่หมาย ระหว่างทางก็ได้เจอมุมๆสวยๆของโลกใบนี้เพิ่มขึ้น
เช้าวันแรกของเดือนสิงหาเราปักหลักอยู่ที่แม่สะเรียง
วันนี้คือวันเตรียมงาน
แต่เราก็ตื่นแต่เช้ามาปั่นจักยานเล่นรอบแม่สะเรียง
เป็นเมืองเล็กๆแต่ดูเงียบสงบ และ คงไว้ซึ่งวิถีชาวบ้านชนเผ่าดั้งเดิม
ไม่เว้นแม้แต่อาหารการกิน
วันที่ 2 กรกฎา วันนี้คือวันนัดพบก่ะเพื่อนร่วมอุดมการณ์
ที่ต่างคนก็ไม่รู้จักกันมาก่อน ต่างคนต่งมาต่างอาชีพและถิ่นเกิด
แต่ครูอาสาทั้งหลายก็เข้ากันได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อวางแผนการสอนกันเสร็จสับก็แพ็คกระเป๋าแบกเป้ออกเดินทาง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง
นั่งรถที่ไต่ทางไหล่เขา ฝนก็ตกปรอยๆ ทางบางช่วงทรุดตัว
แต่ทุกคนก็ยังไม่ถอดใจยังหาเรื่องมาคุยสานความสัมพันธ์กันได้ตลอด
ต่อด้วยลงเรือเขาควาย ล่องแม่น้ำสาละวินอีกเกือบชั่วโมง
จากนั้นก็ขึ้นฝั่ง มีชาวบ้านมารอช่วยแบกของบริจาคขึ้นดอย
เพราะแค่พวกเราคงเอาไปไม่ไหว สุดท้ายเลยได้รับผิดชอบ
สัมภาระใครสัมภาระมันขึ้นดอยที่สูงชัน แต่วิวสวยมากจริงๆ
เดินเท้าเข้าป่าไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ
แต่เหนื่อยมากเพราะทางชัน
พักบ้างเป็นระยะๆ แต่พอไปถึงโรงเรียน
ได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆพร้อมกับคำสวัสดีสำเนียงชนเผ่า
ทำให้เราแทบหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
รู้สึกเหมือนโลกใบใหม่ได้เปิดขึ้นแล้ว
มันมาพร้อมกับเมืองที่ไร้ไฟฟ้า และ ไร้คลื่นโทรศัพท์ และ อินเตอร์เน็ต
ดีใจมากที่ครอบครัวที่เราไปอาศัยอยู่ด้วย เค้าพอจะพูดภาษาไทยได้
เป็นครอบครัวเล็กๆอยู่กัน 4 คน
คุณพ่อชื่อ เปรม แต่ตอนถามเค้าออกเสียงว่า เปล
ส่วนคุณแม่ชื่อ นาง อายุแค่ 22 เองเท่าตาลเลย
แต่มีลูกน่ารักๆสองคน ลูกชายอยู่ ป.3 ชื่อน้องพลกวี
ส่วนลูกสาวนี้น่าเอ็นดูที่สุด น้องอรณิชา
เด็กน้อยหน้ามึน เจ้าฉันยิ้มยาก แต่ชอบทำให้อะไรขำๆให้พวกเราดูประจำ
จากนั้นแยกเข้าบ้านพักกับชาวบ้าน บ้านล่ะสามคน
ดีใจเป็นล้นพ้นได้อยู่ก่ะพี่ที่ทำอาหารเป็น
แต่ทว่าบ้านชนเผ่าที่นี้ไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลยนอกจากเกลือ
อาหารหลักคือ หน่อไม้
ชาวบ้านเค้าบางวันบอกว่ากินแค่หน่อไม้ไม่กินข้าว
ป๊าดโท๊ะ แมคโครไบโอติคชัดๆ
ขนาดแมวยังกินหน่อไม้ ส่วนน้องหมา กินข้าวเปล่าๆกับน้ำ
เลยถือวิสาสะตั้งชื่อแมวให้เค้าว่า นังหน่อไม้ ส่วนมะหมาชื่อว่า น้องข้าวเปล่า
เพราะถามเจ้าของเค้าแล้วมันไม่มีชื่อ
ดีน่ะที่พอจะได้กินกุนเชียงก่ะปลาที่ส่วนกลางแจกจ่ายมาให้เป็นเสบียง
ไม่งั้นได้กินข้าวก่ะหน่อต้มเกลือทุกมื้อเป็นแน่แท้
กินข้าวด้วยมือเปล่าทุกมื้อ
ยังก่ะอยู่ในหนังย้อนยุคยังไงยังงั้นเลย
สนุกมั๊ก!!
ตื่นเช้ามาวันที่ 3 วันนี้ตอนเช้าสอนเด็ก ทำกิจกรรม เล่นเกมส์ แจกขนม
เล่านิทาน แสดงละครกันสนุกสนาน
เด็กๆตั้งใจเรียนกันมากพอสมควร แต่ติดเรื่องภาษาที่เด็กยังไม่ค่อยเข้าใจ
พอถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เด็กๆพาไปหาหน่อไม้ในป่า
คราวนี้เหมือนเด็กคือครูของเรา เพราะเค้าวิ่งลงดอยกันอย่างเชี่ยวชาญ
ในขนาดที่ครูอาสาอย่างเราทั้งหลายต้องค่อยๆก้าวหนอย่างหนอ
ช้าๆอย่างมีสมาธิเพราะกลัวลื่นตกดอย
กลับมาเรียนครอสศิลปะพิเศษสำหรับครูอาสา
โดยถูกแบ่งปันจากครูโรส คล้ายๆศิลปะบำบัด
แต่จำชื่อไม่ได้ว่าเค้าเรียกอะไร แต่เหมือนให้ระบายจากข้างใน
ออกมาข้างนอก ทำตามความรู้สึก
ชอบมากๆเลยล่ะ
รู้สึกอยากไปลงเรียนพวกศิลปะเป็นจริงเป็นจัง
ไม่ได้อยากเป็นศิลปินที่วาดรูปสวยๆหรอก
แต่อยากได้ความเบิกบานใจจากการทำงานศิลปะ
ทำไมทำมารู้สึกเหมือนมันจะกลายร่างเป็นเต่าเลยทำขาก่ะหัวให้มันเพิ่ม
เสริมจินตนาการ
ฮ่าา
และคืนนั้นเองในพิธีสู่ขวัญที่เราก็ถูกมัดมือ กินเหล้าขาวก่ะข้าวเบอะในพิธีคล้ายๆสู่ขวัญของชนเผ่า
ตาลก็ได้รับรู้ว่าหมู่บ้านนี้คือหมู่บ้านใหม่ที่อพยพมากจาก
หมู่บ้าน 100 ปีที่ถุกดินโคลนถล่ม
ที่เคยเห็นในข่าวเมื่อปีก่อน และวันนี้ 3 สิงหาคม 2555
ก็คือวันที่ครบรอบ 1 ปีที่เกิดเหตุการณ์พอดิบพอดี
ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!!
กิจกรรมคืนนั้นเลยมีการจุดเทียนไว้อาลัยด้วย
วันที่ 4 สิงหาคม 2555
หลังจากที่เมื่อคืนฝนตกหนัก เราก็หลับอย่างผวาๆเล็กน้อย
บางสิ่งเราไม่รู้ก็ดีกว่ารับรู้จริงๆน่ะ
แต่วันนี้เต็มที่กับงานเป็นพิเศษหลังจากทราบข้อมูลเมื่อคืน
วันนี้กิจกรรมที่เราวางไว้คือ
เสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีให้เด็กๆ สอนเด็กแปรงฟัน สระผม ตัดเล็บ
อีกกลุ่มก็แยกไปขุดบ่อปลา และ ตกแต่งอาคารเรียนที่มีเพียงอาคารเดียวใหม่
คืนสุดท้ายของที่นี้เราทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางแสนเทียน
สุดท้ายก่อนนอนก็จุดเทียนพูดความในใจ
ได้ฟังความคิด ความรู้สึก ของเพื่อนร่วมค่ายก่อนนอน
5 สิงหาคม 2555
หลังจากร่ำลาครอบครัวที่น่ารักที่คอยดูแลเรามาเป็นอย่างดี
ตาลตัดสินใจมอบโก๊ะโง๊ะให้อรนิชาตามสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
ก่อนจะลงจากบ้าน
ฉันอรนิชาเดินเอากระเป๋าเป้แบบกระเหรี่ยงที่แม่เค้าทำ
มาคล้องคอให้ น่ารักมากๆเลยเป็นของขวัญที่สื่อถึงใจจริงๆ
ขากลับเราไปเส้นทางใหม่เพื่อให้ผ่านหมู่บ้านเก่า
ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหมู่บ้านร้างเนื่องจากโคลนถล่มปีที่แล้ว
มีผู้เสียชีวิตที่นี้ 8 ราย เผากลางหมู่บ้าน 7 ราย อีก 1 หายสาบสูญ
มันเศร้าน่ะ วังเวงด้วย
และเนื่องจากที่นี้เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี
เราเลยได้เห็นต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่แสนอุดมสมบูรณ์
เช่น ต้นมะม่วง ต้นส้มโอ ต้นทุเรียน ต้นมะเฟือง ที่ยังให้ผลผลิตได้อยู่
และได้เห็นท้องนา ลำธาร สวยมาก
จนต้องเดินฮัมเพลงเบาๆตลอดทาง
ระหว่างทางนอกจากจะได้ชมธรรมชาติที่งดงามแล้ว
ยังได้สัมผัสพลังแห่งมิตรภาพอันงดงามจากเพื่อนๆรุ่นพี่
ที่คอยเบิกทางให้ และคอยยื่นมืออุ่นมาจับมือประคองเวลาลื่น
หรือเมื่อเจอเส้นทางลำบาก
ทำให้ผ่านพ้นอุปสรรคจากการเดินทางมาได้
สุดท้ายเราก็ทำภารกิจลุล่วงไปด้วยดีพร้อมความประทับใจ
อยากไปบ้างจัง อยากทำตามความฝันของเรา อยากสอนเด็กให้เป็นคนดี อยากให้เด็กที่ขาดโอกาส ได้มีโอกาสและความหวัง อยากให้เด็กโตขึ้นมีความรู้ ความสามารถมาพัฒนาบ้านเกิดเค้าได้ ถึงรู้ว่าเราต้องลำบาก แต่ถ้าเราทำได้ คงภูมิใจในตัวเองมากๆเลย