ครั้ง แรกที่เหล่าครูอาสาได้พบหน้ากัน ดูเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าของกัน และกัน แต่กับบางคนอาจจะดูคุ้นหน้ากัน ราวกับว่าเคยพบกันมาก่อนที่ไหนสักแห่งแต่จำไม่ได้
“ผมว่าผมเคยเห็นหน้าคุณนะ” ชายอ้วนผิวดำศีรษะเถิกพกกล้องถ่ายภาพถามผม
“ไม่หรอกมั้ง คนเรามีน่าตาที่คล้ายกันเยอะครับ” ผมตอบเขาเชิงปฏิเสธทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเหมือนกัน อาจเป็นเป็นเพราะ โชคชะตา หรืออาจไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้ที่เหล่าครูอาสาทุกท่านต่างมารวมตัวกัน เพื่อทำกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ ครูฯ ทุกท่านออกเดินเท้าเพื่อไปหมู่บ้านสุขเกษม ซึ่งต้องผ่านทิวเขาอันเขียวขจีที่หมอกบนยอดเขาในยามนี้ไม่ปรากฏให้เห็นมาก นัก เพราะเป็นเวลาที่สายมากแล้ว ในระหว่างเดินพวกเรา กังวลเรื่องฟ้าฝน เพราะมีฝนลงเม็ดบ้างแล้วแต่ไม่มากนัก ในขณะที่เดินไปเรื่อยๆ
“ระวังหนามด้วยนะ…” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนของเพื่อนครูฯ ด้วยกันแม้จะยังไม่รู้จักกันดีก็ตาม จนในที่สุดคุณครูฯ ก็เดินมาจนถึงลำห้วยเล็กๆ หลายคนอออกอาการลังเลใจ
ใช้เวลาไม่นานนักเหล่าครูฯ ก็ตบเท้าเข้าสู่หมู่บ้านฯ เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมอาหารที่เพียงพอต่อการดำรงชีพภาพในระยะเวลา 4 คืน 5 วัน ถ้าครูฯ คู่ไหนทำกับข้าวไม่เป็นจะโชคร้ายมาก เหมือนคู่ของผม
“คุณเคยทำกับข้าวใช่ไหมครับ” ผมถามเพื่อนครูฯ ที่ต้องอยู่ด้วยกัน
และเขาตอบ “ใช่ครับ ผมเคยทำ แต่นั่นต้องย้อนไปสมัยที่ผมเป็นลูกเสืออยู่ตอน ม.3” คิดสภาพดูเอาเองก็แล้วกันครับ
แต่ ในความโชคร้ายก็พอมีความโชคดีอยู่บ้างที่ลูกๆ ของอาดะที่ผมเข้าอยู่จะทำกับข้าวไว้เสมอ แต่พวกผมไม่อยากรบกวนมากนัก จึงพยายามทำกับข้าวกันเองบ่อยครั้ง
เช้า วันรุ่งขึ้นครูแทบทุกท่านได้รับเกียรติให้เข้าโบสถ์คริสต์เล็กๆ ของหมู่บ้านฯ ชาวบ้านจะมารวมตัวกัน และถือโอกาสนี้รำลึกงานวันแม่ไปด้วย เสียงกีต้าร์บรรเลงให้จังหวะ ทุกคนในโบสถ์ต่างร้องเพลงเว้นแต่คนชาวพุทธที่ร้องไม่เป็น กิจกรรมทางศาสนาของชาวคริสต์ในหมู่บ้านฯ ดำเนินต่อไปเรื่อยจนกระทั่ง สิ้นสุด และให้มีการให้ลูกพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ของตนเอง เด็กสาวคนหนึ่งออกมายืนพูดบนเวทีที่สะกดให้อารมณ์ของทุกคนในขณะนั้นให้ ซาบซึ้งในเรื่องของความเป็นแม่ แม้เธอจะพูดออกมาเป็นภาษาอาข่าที่ผมฟังไม่ออก แต่ผมและเหล่าครูฯ นั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแบบนี้ บางคนน้ำตาคลอเบ้า บางคนน้ำตาไหล แต่กับบางคนก็เก็บความรู้สึกเอาไว้โดยไม่แสดงออกให้ใครรู้
วันที่ผ่านๆมา ผมเห็นครูฯหลายท่านเหมือนรู้ว่าเวลาของตนมีอยู่น้อยนิด จึงทุ่มเทกับการทำกิจกรรมสันทนาการกับเด็กอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย บางส่วนได้ทำถังขยะให้กับหมู่บ้านโดยการสานไม้ไผ่ บางส่วนได้เข้าไปตัดไม้ไผ่มาสร้างราวทางเดินขึ้นโบสถ์ ซึ่งเป็นทางที่ชัน และลื่นมากหากมีฝนตก ครูฯ หลายท่านได้เข้าคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านและเด็กราวกับเป็นญาติสนิทก็ไม่ปาน ความผูกพันภาพในจิตใจจึงเกิดขึ้นมาก
และ แล้ววันนี้วันที่ครูบ้านนอก ต้องสวมวิญญาณความเป็นก็มาถึง ครูกระปรี้กระเปร่าตื่นนอนแต่เช้า (มีบางคนแอบตื้นเต้นจนนอนไม่หลัง)เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนพร้อมเด็ก ๆ “ครูครับ / ครูขา รีบเดินมาเร็วค่ะ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย” 8.00 โมงเช้าครูเข้าแถวพร้อมเด็ก ๆ ก่อนแยกย้ายกันเข้าสอนตามชั้นเรียน ครูและเด็กวาดลวดลายกันเต็มที่ ครูสอน เด็กเรียน โอ้ย …สนุกสุด สุด มองดูนาฬิกา อะไรเที่ยงอีกแล้วเหรอทำไมเวลาเดินเร็วเช่นนี้ ยังสอนไม่เสร็จเลย เอ้า…เที่ยงก็เที่ยง ครูรวมกันที่ห้องประชุมเพื่อกินข้าวกลางวันร่วมกัน พูดคุยกิจกรรมครึ่งวันที่สอนเด็กมา ” โอ้ย..เด็กที่ห้อง สนุกกันใหญ่ ซนเป็นลิง “ บางเสียงก็ ” เด็กมันไม่ยอมเรียน ชวนให้เรา (ครูบ้านนอก) เล่นกิจกรรมอย่างเดียว “ และอีกหลายเสียงที่พูดเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์กัน ลืมบอกไปอีกอย่างวันนี้ที่รงเรียนทำอาหารเลี้ยงด้วย ขนมจีนแกงเขียวหวาน ผัดเผ็ดถั่ว ลำขนาด!!! ช่วงบ่ายสอนตามปรกติ บ่ายแก่ ๆ ก็มีการแข่งขันกีฬาระหว่างครูบ้านนอกและเด็ก ๆ สนุก ระบม ปะปนกันไป ไอ้ที่ระบมนี้ครูทั้งนั้นแหละ สู้แรงเด็กไม่ได้ โรงเรียนเลิกครูเดินกลับบ้านพร้อมเด็ก ๆ ร้องเพลงบ้าง พูดคุยแลกเปลี่ยนกันบ้าง แป็บเดียวก็ถึงบ้าน
วันสุดท้ายที่ต้องอำลา มันจึงต่างจากภาพตอนที่ครูฯ เดินเข้ามามากมายนัก ครูฯ หลายคนมีหยาดน้ำตาแห่งความอาลัย เป็นความรู้สึกที่โหยเศร้าหม่นเหงาอย่างบอกไม่ถูก ผมเองก็ได้แต่มองภาพการจากเหล่านั้นด้วยบรรยากาศซึมเซา ก่อนกลับเหล่าครูฯ ได้มานั่งสรุปสิ่งต่างที่ประสบพบเจอในหมู่บ้านฯ หลายอย่างเป็นปัญหาที่ต้องเพิ่งภาครัฐ (ช้ามาก) แต่บางอย่างพวกครูสามารถทำเองได้ พวกครูทั้งหลายจึงมีแนวคิดที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ก็อีกนั่นแหละมันเป็นเรื่องของอนาคต อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ผมก็หวังว่าหยาดน้ำตา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะจะคืนมาอีกครั้งไม่ช้านี้ ในบางครั้งภาพเด็กๆจะผ่านเข้ามาใน หัวของผมทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่ผ่านมา แล้วคุณละเป็นเหมือนผมบ้างไหม…..