ตามหาฝัน…วันฟ้าใส

สิ้นเสียง รถยนต์ที่เดินทางออกจากบ้านอาดุใหม่  นอกจากเสียงหัวใจที่เต้นจนแทบจะได้ยินเสียงแล้ว  มีเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงฝน   ……..

ความเงียบก็กลับเข้าสู่บ้านอาดุอีกครั้ง ราวกับว่าที่นี่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เช้าวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ สายฝนได้กระหน่ำเทลงมาดั่งว่าฟ้ารั่วตั้งแต่เช้า  บรรยากาศอึมครึม พลอยทำให้รู้สึกเศร้าสร้อยเงียบเหงา ราวกับฟ้าหยั่งรู้ว่า วันนี้พวกเราจะเดินทางกลับออกจากหมู่บ้าน จึงหลั่งน้ำตาแทนความรู้สึกห่วงหาให้เราได้รับรู้   ทุก ๆ เช้า เด็กๆ จะตื่นขึ้นมาวิ่งไล่ เล่นกันที่ลานหน้าหมู่บ้าน  เสียงหัวเราะใสๆ และใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา  ณ ลานแห่งนี้เปรียบเสมือนสวนสนุกสำหรับเด็กๆที่นี่     ( ก่อนหน้านี้เพียง 5 วัน กลุ่มครูบ้านนอกอาสาสมัครเดินทางมารวมตัวกันที่สถานีขนส่งจังหวัดเชียงราย  การรวมตัววันแรกของครูอาสาทั้งหมดที่มาจากทั่วสารทิศของเมืองไทย ซึ่งมีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่แตกต่างกันนี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสัมพันธไมตรี  เพราะจุดมุ่งหมายเพื่อทำสิ่งดีให้สังคมนั้นเป็นจุดรวมให้ทุกคนรู้สึกถึง คุณค่าของการเป็นคนอาสา วิชามนุษยสัมพันธ์ที่ร่ำเรียนมาจึงไม่สัมคัญที่จะต้องใช้ในสังคมนี้เลย)

ครูอาสา
หมู่บ้านบนดอย

ก่อนหน้านี้ 5 วัน … ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงราย พวกเราเดินมาถึงแต่เช้า ต่างคน ต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรม พอได้มารวมกันก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของแต่ละคน แต่เมื่อมีการพูดคุยกันถึงเรื่องการมาเป็นอาสาสมัคร พวกเราที่ไม่เคยรู้จักกันจึงรู้ว่าแต่ละคนมีจุดหมายเดียวกัน เพื่อนๆที่อยู่กระจายกัน ก็ต่างเข้ามาร่วมวง  คราวนั้นวงสนทนาจึงได้เริ่มขึ้นอย่างมีสีสัน  การเดินทางไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้  เพราะเวลาประมาณแปดโมงครึ่ง เราก็เห็นคนถือป้ายชู “ยินดีต้อนรับคนที่มีหัวใจเป็นครู” ครั้งแรกที่เห็นหน้าคนถือป้ายเรารู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเท่าไร ถ้าไม่เห็นป้ายที่เขาถือ เราคิดว่าหน้าตาแบบนี้มีลักษณะคล้ายพวกมิจฉาชีพเสียมากกว่า   ซึ่งเป็นบทเรียนแรกที่เราได้เรียนรู้จากการเดินทางในครั้งนี้ นั่นคือ “อย่าตัดสินคน จากรูปลักษณ์ภายนอก….หนังสือที่มีเนื้อหาดีๆ ใช่ว่าหน้าปกต้องสวยเสมอไป เช่นเดียวกันกับคนที่มีจิตใจดี ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นเฉพาะคนที่มีหน้าตาดีเท่านั้น”

เส้นทางไปมูลนิธิกระจกเงา ระยะทางไม่ได้ไกลมาก แต่เส้นทางที่คดเคี้ยวลดเลี้ยวไปมาที่นำเราออกไปสู่นอกเมืองนั้น เป็นการเดินทางที่พิสูจน์แรงม้ารถมากทีเดียว เพราะเส้นทางกันดารและยังเป็นถนนลูกรัง ซึ่งถ้าไม่ได้นั่งรถที่มีสติ๊กเกอร์ www.learnfromhilltribe.org บอกว่าเป็นรถ ของมูลนิธิแล้ว ก็คงกังวลว่าจะถูกหลอกไปใช้แรงงานหรือเปล่า  แต่ก็ยังกังวลอยู่ว่าหุ่นแต่ละคนดูแล้ว ไม่เหมาะที่จะเอาไปใช้แรงงานอย่างแน่นอน ยกเว้นครูอิฐ กับ ครู อาร์ม หุ่นให้ ผิวพรรณส่งเสริม..     **ถึงแล้ว….โอ้โฮ กระจกเงา ผิดจากที่มโนภาพไว้บ้าง  แต่บรรยากาศร่มรื่น อยู่ท่ามกลางภูเขา ด้านหน้าทางเข้าก่อนถึงศูนย์ฯ มีร้านขายของชำ และร้านอาหารตั้งอยู่สองสามร้าน  ขนของลงจากรถเสร็จ เข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ ประมาณ สิบโมงเช้า จึงเข้าห้องประชุม ชมวิดิทัศน์แนะนำสถานที่และโครงการ แนะนำตัว แบ่งกลุ่มกัน ดูครูแต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสดีจัง    เสร็จจากห้องประชุม เราก็เตรียมตัวออกเดินทางไปบ้านอาดุใหม่ พี่เลี้ยงครูบอกว่าเราต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร มีเพื่อนแซวขึ้นว่า “ 7 กิโล แม้วหรือเปล่า?”

เตรียมเสบียงและ น้ำกันเต็มที่ อ้อลืมไปมีเด็กๆ จากหมู่บ้านมารับพวกเราขึ้นดอยด้วยละ…เส้นทางไปบ้านอาดุใหม่ซู๊ดดด ยอดดด ขึ้นเขาชันมากกก ถ้ามีใครบางคนอยากลดหุ่น เราขอแนะนำว่า ให้มาสมัครโครงการครูบ้านนอก นอกจากจะได้ลดหุ่นสมความอยากแล้ว ยังได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมอีกด้วย ไม่เชื่อถามครูปอย ครูบาส ครูพลัม ลดไปกี่โล…ใช่มั้ยครู? ยิงนกทีเดียวได้ถึง 2 ตัว หรือว่าใครเก่งอาจได้มากกว่า 2 ตัวก็ได้แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน…เผลอ ได้แฟนกลับด้วย….   บางคนอาจรู้สึกขยาดกับเส้นทาง แต่เราเชื่อว่าในกลุ่มของพวกเรา ถ้ามีโอกาสต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน สังเกตได้จากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของแต่ละคน  เดินทางมาได้ครึ่งทางสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ราวกับว่าจะพรมน้ำมนต์ให้แก่ครูทุกคน…เราจึงหยุดพักทานข้าวเที่ยงกัน….เมนูอาหารกลางวันมื้อแรกที่มาเป็นครูบ้านนอกก็คือ “ข้าวเหนียว น้ำพริก น่องไก่ทอด” (เอ..ทำไมกล้วยทอดเรียกล้วยแขก…สงสัยจัง?)

        แจกห่อข้าวเสร็จแล้ว พอจะนั่งกิน น้ำมนต์ของพระพิรุณเริ่มเม็ดใหญ่ขึ้น ต้องหลบไปกินในป่าไผ่ข้างทาง  ข้าวเหนียวกลายเป็นข้าวแฉะ ข้าวร่วง..กินอร่อยไปอีกแบบ อืม อร่อยที่บรรยากาศไง….ไม่รู้ว่าถ้านั่งกินแบบนี้ที่บ้าน คนหุงคงโดนด่าเละ จนหูชาไปแล้ว แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับรู้สึกว่าอร่อย….ฉะนั้นเวลากินอะไรไม่อร่อย ก็ให้คิดถึงอาหารมื้อแรกของเรานะ….แล้วจะไม่บ่นว่า กับข้าวไม่อร่อยอีกเลย… จริงแล้วพวกเราก็อยากบอกพระพิรุณว่าพรมให้พอดี แต่ไม่รู้จะบอกยังไง ก็ได้แต่นั่งรับน้ำมนต์ไปด้วย กินข้าวไปด้วย พอกินเสร็จ ฝนหยุดตก…โอ้ โห..เราคิดว่าพระพิรุณคงกลัวว่าในบรรดาพวกเราคงกินเผ็ดไม่ได้ จึงส่งน้ำมาให้…มองในแง่ดี อะไรๆ มันก็ดีน้อ

บ้านอาดุใหม่…..ว้า..ทำไมถึงไวจัง..เดินไม่ทันได้ย่อยอาหารเที่ยงเลย ถึงซะล่ะ รู้งี้เราบอกให้ครูพี่เลี้ยงพาเดินอ้อมเขาสักสิบโล…แต่ก็เกรงจาย..อิ อิ   บ้านอาดุใหม่ตั้งอยู่บนเนินเขา บ้านแต่ละหลังสร้างลาดชันลงมาตามสันเขา ดูสวยงาม เป็นระเบียบ มีถนนตัดผ่านตรงกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนให้ความสนใจ มองดูพวกเรากับเด็กๆที่เดินเข้ามา รู้สึกว่าเหมือนเป็นดาราเลยละ…เพียงแต่ว่าดาราหน้าตาไม่ดีเหมือนพวกเรา และที่สำคัญพวกเราใจดีกว่า.. 

       แล้วก็ถึงวาระสำคัญอีกวาระหนึ่ง… นั่นก็คือให้เด็กเลือกว่าจะพาครูคู่ไหนเข้าไปพักที่บ้าน มีเด็กๆ หลายคนที่มีทีท่าว่าจะไปไกลได้เป็นแมวมองเพราะ ติดต่อเราไว้ตั้งแต่เดินทางขึ้นมาหมู่บ้านแล้ว..ต้องขอโทษครูท่านอื่นด้วย แข่งอะไรพอแข่งได้..แต่อย่าแข่งบุญ แข่งวาสนากับเรานะขอบอก…ตอนเย็น ถึงเวลาต้องแสดงฝีมือทำกับข้าว….ทำให้รู้ว่านอกจากความมุ่งมั่นที่จะมา เป็นครูอาสาเหมือนกันแล้ว กับข้าวมือแรกแทบทุกบ้านจะมีเมนู “ไข่เจียว” เหมือนกันอีกด้วย…ใครที่ไม่เคยเข้าครัวก็ได้เข้าครัว…คุ้มจริงๆ มาเป็นครูอาสาครั้งนี้..ใช่มั้ยครู?
หัวค่ำมีกิจกรรมสนุกสนานรอบกองไฟ เล่นกันนานพอสมควรจึงให้เด็กไปนอน พวกเราก็นั่งสรุป ประชุมงานกันต่อ…..วันเวลาดำเนินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
        …พวกเราก็พบว่าตัวเองได้เดินทางมาถึงกำหนดแล้ว..มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ ได้รับเรียนรู้ ได้พบเห็น ได้รู้สึก แม้ว่าจะยังไม่อยากจากกัน  แต่กาลเวลาก็ชักนำให้เราต้องแยกย้าย แม้จะรู้สึกห่วงหา อาลัย อาวรณ์ความรู้สึกเดิมที่ได้รับรู้ ได้สัมผัส แต่ก็ไม่มีทางที่จะเรียกให้มันย้อนกลับคืนมาได้ บางทีผมคิดว่าเราจากกันไปเพื่อที่จะให้อยู่ในความทรงจำของเรา…

เขียนโดย
ครูต้น  ครูบ้านนอกรุ่น 83
คนอาสาโครงการ Hilltribe.org

Leave a Reply

scroll to top