เรื่องเล่าครูบ้านนอกตอนที่4

  ๔. “วัน เวลา มาบรรจบกัน”

เส้นทางเดียวกัน

เจ็ดโมงเช้าฉันถึงสถานีขนส่งบ้านฝางอย่างปลอดภัย รีบโทรบอกคนที่บ้านว่าฉันถึงเชียงใหม่แล้ว เดี่ยวพอฉันเข้าเขตที่มีเขามากๆ ทุกคนก็จะติดต่อฉันไม่ได้ วางสายจากที่บ้านฉันกับพี่ใจดีก็แบกกระเป๋าลงไปหาข้าวกิน มีคนเดินลงจากรถมามากมาย ซึ่งน่าดีใจพวกพี่เขาก็เดินทางมาในจุดประสงค์เดียวกับฉัน พี่ใจดีกับฉันเดินเข้าไปถามพี่ๆกลุ่มหนึ่งว่ามาค่ายกันหรือเปล่า ซึ่งคำตอบก็คือใช่ เราเลยรวมกลุ่มร่วมเดินทางกัน ทุกคนทำความรู้จักถามชื่อถามอายุกันใหญ่ ฉันมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือฉันคุยไม่เก่งกับคนที่ฉันยังไม่สนิทด้วย แล้วก็ออกจะเกรงใจเวลาจะคุย เลยดูเหมือนฉันเป็นคนเงียบๆกว่าใครๆในกลุ่ม ฉันไม่ได้เงียบกว่าใครในกลุ่มอย่างเดียวนะ ฉันยังอายุน้อยสุดด้วย ฉันตกใจมากที่พี่ๆทุกคนอายุมากกว่าฉันเยอะ และต่างก็เรียนจบมีงานทำกันหมดแล้ว อ้าว!! นี่ฉันเด็กสุดหรอเนี่ยะ ฉันคิดในใจ แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคของฉัน

หลังจากที่ทุกคนแบกข้าวไว้ในท้องมื้อนี้เสร็จ รถทีมงานก็มาจอดรับหน้าสถานีขนส่ง นั่นก็คือจุดนัดพบนั่นเอง ทุกคนที่มาราวนับ20กว่าชีวิต ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยคุยกันมาก่อน วันนี้เราจะได้ร่วมเดินทางไปในทางเดียวกัน เพราะเส้นทางทำให้เราหลายชีวิตมารู้จักกัน ทั้งที่เราพูดภาษาต่างกัน สีผิวต่างกัน หน้าตาต่างกัน อยู่ในภูมิลำเนาที่ต่างกัน ฐานะต่างกัน แต่ทุกคนดูเหมือนว่าจะพูดคุยเข้ากันได้ด้วยดี ไร้ปัญหา

ทีมงานมีรถมาสามคัน ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันได้นั่งรถคล้ายๆเป็นรถกระบะขนของ เพราะมีโครงเหล็กยื่นออกมาท้ายกระบะ อากาศที่นี่ดีมาก นั่งท้ายรถนี่หัวแทบจะหลุดออกจากบ่า ลมพัดเย็นสบาย ส่วนรถก็ขับแบบท้าทายมาก ฉันสนุกกับการนั่งรถร่วมกับพวกพี่ๆมาก ทุกคนคุยกันอย่างเมามันส์

บ่อยครั้งที่ฉันโดนแซวว่าให้พูดเยอะๆหน่อย 555 ฉันทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีเวลาพี่ๆคุยกัน ฉันไม่รู้ว่าฉันจะคุยอะไรได้มากกว่าการถามชื่อพี่ๆ ถามพี่ๆว่ามาจากจังหวัดไหน ฉันมีอาการเขินนิดๆ แต่ก็สนุกดีเพราะบนรถที่ฉันนั่งมีทั้งคนภาคกลาง คนภาคใต้ คนภาคอีสาน ฉันคิดว่าถ้าทุกคนงัดภาษาของตัวเองมาพูดก็คงจะเรียกเสียงฮาไม่น้อย

เรานั่งรถไปในเส้นทางเดียวกันไม่นานก็ถึงที่หมาย แต่ทางที่เราผ่านมานั้นเป็นถนนที่ยากจะอธิบาย เอาเป็นว่าเรานั่งเฉยๆบนหลังกระบะก็แทบจะเต้นเองได้ และแล้วเราก็ถึงที่หมาย ฉันก้าวขาลงจากรถ มองดูรอบๆ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นที่ตั้งทำการของมูลนิธิ ข้างๆรอบๆเต็มไปด้วยป่า มองออกไปอีกนิดก็ภูเขาล้อมรอบเต็มไปหมด

เรามาพักที่นี่เพื่อร่วมทานข้าวเที่ยงกัน และทำความรู้จักกันมากขึ้น วันแรกประเดิมเลยมื้อเที่ยงอาหารเมนูผัก เรื่องจริงที่ไม่เคยอิงนิยายเลยคือ ฉันเป็นคนไม่กินผักเกือบจะทุกชนิด และเมนูที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ฉันอยากเอาชนะตัวเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันกินข้าวเที่ยงมื้อนี้ไม่ได้ ฉันก็คงจะอดตายบนภูเขา  

ฉันไม่รีรอที่จะตัดริบบิ้น รีบจับปลายจวักตักข้าวใส่จาน และตักผัดหมูถั่วฝักยาวที่ดูแล้วยังไงๆก็เห็น แต่สีเขียวเต็มหม้อ ลงในจาน และตักกับข้าวอื่นๆลงไป ฉันเป็นคนกินข้าวน้อยเลยตักอย่างละนิดละหน่อย   และเดินไปหามุมนั่งกินข้าวร่วมกับพวกพี่ๆคนอื่นๆ

ฉันไปนั่งกินข้าวกับพี่ๆกลุ่มหนึ่งที่พึ่งจะรู้จักกันตอนลงรถนี่แหละ ดูพี่ๆจะตกใจกับขนาดตัวของฉัน ฉันเป็นคนตัวเล็กมาก พูดได้ว่าตัวกับอายุนี่ไม่ค่อยจะมิกซ์กันเท่าไหร่ พี่ๆก็รุมถามกันใหญ่ ว่าฉันมากับใคร เดินทางยังไง เป็นคนที่ไหน พักที่ไหน ดูเหมือนทุกคนจะแปลกใจในคำตอบของฉัน ว่า ฉันมาคนเดียว ฉายเดียวมาจาก นครศรีธรรมราช

“มาไกลจังเลย มาคนเดียวด้วย น้องเจ๋งมาก” พี่ผู้หญิงที่นั่งทานข้าวด้วยกันเป็นคนพูดขึ้นมา ฉันก็ได้แต่ยิ้ม เพราะฉันก็คิดว่ามันไม่แปลกเพราะฉันก็อายุมากอยู่นะ ก็แค่ตัวเล็กเท่านั้นเอง

มื้อเที่ยงผ่านไป มีฝนโปรยลงมาเล็กน้อย ทุกคนรวมตัวกันเพื่อทำความรู้จักกันอีกครั้ง โดยครั้งนี้เราต้องแนะนำชื่อ อายุ จังหวัดที่มา หน้าที่การงาน และทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิ จากการแนะนำตัวเองในรอบนี้ทำให้ได้เจอกับคนบ้านเดียวกันถึง5คน แต่พวกพี่ๆเขามาจากจังหวัดภูเก็ต

หลังจากที่ทุกคนแนะนำชื่อครบหมด เราก็มาเล่าและค้นหาคำตอบกันว่า เรามาที่นี่เพราะอะไร

ทุกคนคงไม่ต้องเตรียมและคิดว่าจะตอบยังไง เพราะใจทุกคนต่างก็มีคำตอบอยู่แล้ว และเพื่อให้เราทุกคนรู้จักกันมากขึ้น ทางทีมงานเลยมีเกมส์ให้พวกเราเล่นร่วมกัน เพื่อให้มื้อเที่ยงได้ย่อย และรอเวลาเดินทางขึ้นหมู่บ้าน

ก่อนที่จะเดินทางไปยังหมูบ้าน เราก็ได้แต่งตั้งคำนำหน้านามใหม่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนเราก็ใช้คำเดียวกัน คือคำว่า ครู ทุกคนมีคำนำหน้าว่า ครู เห็นๆอยู่ตรงที่ป้ายชื่อห้อยคอ ฉันภูมิใจกับป้ายชื่อใบนี้มาก และอีกเรื่องที่ทุกคนจะต้องรู้จัก คือเพื่อนร่วมบ้าน ทางทีมงานจัดคู่เอาไว้เพื่อให้เราเข้าพักกับชาวบ้านหลังละสองคน ฉันตื่นเต้นมากว่าจะได้อยู่กับใคร ถึงเวลาที่ทีมงานเรียกชื่อฉัน และดีใจมากที่ได้อยู่กับพี่เขา พี่เขานิสัยดี และน่ารักมาก ฉันขอเรียกพี่เขาว่าพี่สาวนะคะ  แต่ฉันสงสารพี่สาวมากว่าที่ได้อยู่กับฉัน เพราะฉันไม่ค่อยพูด คงเงียบน่าดู

เราต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกัน เราจะเหนื่อยเหมือนกัน เราจะสนุกพร้อมกัน และเราจะจับมือพยุงเดินไปด้วยกัน ในทางที่เราต่างก็อยากจะมา

ฉันและพี่ๆทุกคนต้องเดินขึ้นเขาลงเขานับๆแล้วก็ประมาณ 4 กิโลเมตร ดูเหมือนน้อยใช่ไหมละ

แต่มันไม่ง่ายเลยที่เราต้องเดินขึ้นเขาไปไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก ฝนก็โปรยลงมา เดินขึ้นเขานี่ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เวลาเดินลงเขานี่สิ เราต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกเลยทีเดียว ขึ้นเขาลงเขาไมพอ ต้องเดินบุกลำธารอีก กิ่งไม้ก็เต็มพื้นไปหมด พูดได้ว่าครบครัน แต่บรรยากาศดีและสบาย เลยทำให้ฉันหลงใหลกับข้างทางจนลืมไปว่า เหนื่อย ฉันดีใจ ตื่นเต้นมาก ตลอดทางนึกตลอดว่าหมู่บ้านจะเป็นยังไงนะ เด็กจะเยอะไหม  เราจะคุยกับเขารู้เรื่องรึเปล่า เขาจะต้อนรับเรายังไง อาหารการกินที่พัก สารพัดนึก

เอาละเจอทางลงเขา ซึ่งมันลึกมากและชันมาก ฉันค่อยๆสไลด์ตัวลงไป แต่ฉันก็ดันสะดุดข้อเท้าพลิก และเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันดวงตกในวันนั้นก็คือ รองเท้าฉันขาด เพราะฉันถอดผ้าใบสวมแตะเดินเพราะเห็นว่าฝนตกด้วย ไม่เป็นไรฉันเดินเท้าเปล่าละกัน สบายมาก ฉันเป็นคนอะไรก็ได้ ไม่มีก็ไม่ต้อง พังแล้วก็ช่างมัน ไม่เป็นไร ดูเหมือนฉันจะไม่เดือนร้อนกับการเดินเท้าเปล่าเลย เพราะมั่วแต่มีความสุขอยู่กับธรรมชาติข้างทาง ซึ่งเป็นลำธาร น้ำใส และอีกด้านคือสวนส้มของชาวบ้าน ซึ่งก็คงจะใกล้หมู่บ้านเข้าไปทุกที

พี่ที่ร่วมทางมากับฉัน เห็นฉันเดินเท้าเปล่า ก็ถามใหญ่ ฉันบอกว่าไม่เป็นไรฉันโอเคอยู่ แต่พี่เขาพยามช่วยถามชาวค่ายข้างหน้าว่าใครมีรองเท้าสำรองบ้าง ขอยืมให้น้องใส่ก่อน ฉันถึงกับรู้สึกผิด เท้าตัวเอง เรื่องตัวเองแท้ๆ แต่ต้องเดือนร้อนคนอื่น

ฉันประทับใจคำพูดหนึ่งของพี่เขา

“เวลามาค่ายแบบนี้ถ้ามีปัญหาก็ต้องรีบบอกคนอื่น อย่างเช่นตอนนี้รองเท้าขาดก็ต้องรีบถามว่าใครมีรองเท้าให้ยืมบ้าง เราะมาเดินป่าแบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรบ้าง”

ฉันกล่าวคำขอบคุณทั้งพี่เขาและเจ้าของรองเท้าที่ให้ฉันยืม ทุกคนมีน้ำใจมากจริงๆ ฉันรู้สึกดีมาก เพราะฉันไม่เคยเห็นการแสดงน้ำใจที่ดีจากคนที่เราไม่เคยสนิทมาก่อน มันคือจำนวนน้อยที่เราจะได้เห็น

และในที่สุดเราก็เห็นหลังคาบ้านอยู่ลำไร เดินขึ้นไปข้างบนอีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึงแล้ว

ทางขึ้นหมู่บ้านทำให้ฉันต้องหยุดชะงักและรีบหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องถ่ายรูป ข้างล่างเป็นนาข้าวของชาวบ้านและตรงหน้าเป็นภูเขา มีหมอกจางๆลอยอยู่ ฉันยื่นดูอยู่พักใหญ่และเดินขึ้นไปต่อ

และในที่สุดเส้นทางที่เราเดินมา มันทำให้เรามารวมกันที่จุดเดียวกัน ไม่ว่าใครจะมาด้วยจุดประสงค์ใดก็ตามแต่ฉันเชื่อว่าฟ้ากำหนดให้เรามาอยู่บนเส้นชีวิตเส้นเดียวกันทั้ง 27 ชีวิต
….ติดตามตอนต่อไป…

Leave a Reply

scroll to top